field trip 3/26-07-53

ทริป สถาปัตยกรรมไทยพื้นถิ่น วันที่ 3 / 26 ก.ค.53

หลังจากที่ผ่านการเดินทางและประสบการณ์ 2วันแล้วประสบการณ์วันนี้เราก็ออกเดินทางเพื่อลุยกับวันใหม่ต่อ วันนี้เราออกเดินทางจากโรงแรมที่พักในเวลาใกล้เคียงกับเวลาเดิม เราเดินทางมายัง วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดารามซึ่งเป็นโบราณสถาน มีวิหารที่เป็นสถาปัตยกรรมล้านนา สกุลช่างเชียงแสน สร้างประมาณปี พ.ศ. 2325-2352 วัดแห่งนี้มีลักษณะสถาปัตยกรรม ที่มีหลังคาเล่นระดับแบบภาคเหนือ

ที่สำคัญก่อนที่จะเข้ามายังวิหารหลักจะต้องผ่านเข้าสู่ลาน plaza ด้านข้างและมีการนำเข้ามายังวิหาร กำแพงแก้วเป็นวัสดุก่ออิฐเต็มแผ่น สองชั้นเปลือยให้เห็นถึงวัสดุที่แท้จริง เป็นเอกลักษณ์ที่สื่อผ่านวัสดุออกมาได้อย่างแท้จริง

ลักษณะฐานวิหารเป็นก่ออิฐถือปูน ส่วนตัวผนังขึ้นไปถึงหลังคาจะเป็น วัสดุไม้เป็นหลัก รูปด้านของวิหารนี้จะแตกต่างจาก ที่เราได้เคยเจอมาเพราะมีลักษณะของลูกมะหวด เป็นซี่ๆทำหน้าที่ช่องเปิดให้กับตัวอาคาร ลวดลายไม้แกะสลักไม้เมื่อที่หน้าบันช่วย ขับให้หลังคาที่ซ้อนชั้นกัน ดูโดดเด่นขึ้น เชื่อว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดที่ เป็นเส้นทางอัญเชิญพระแก้วมรกตมาจากเวียงจันทร์ เพื่อที่จะไปยังกรุงเทพฯ

ต่อจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยังบ้านของชาวบ้านลักษณะที่สำคัญของบ้านพื้นถิ่นเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีการ ยกใต้ถุนสูงมีลานดิน ที่มีร่องน้ำระบายน้ำ และมีเครื่องใช้ไม้สอยการเกษตรเก็บไว้ โดยเฉพาะทุกๆบ้านจะมีพื้นไม้เก็บไว้เพื่อการหุงหาอาหาร ลักษณะที่น่าสนใจคือชาวบ้านประยุกต์เอาวัสดุที่เป็นไม้และสังกะสีมาก่อสร้าง มีส่วนใช้งานที่ต่อเติมด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน ทำให้เกิดลูกเล่นและระนาบที่น่าสนใจ ซึ่งอาจจะนำไปประยุกต์ใช้กับงานสมัยใหม่ได้ดีทีเดียวในแง่ของ ของจัดการรูปด้านที่ไม่ลงตัว

ต่อมาเราได้มีโอกาสมาทานข้าวเที่ยงกันที่วัดข่วงกอม วัดนี้มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบล้านนาอีกเช่นเคย แต่ที่แปลกตากำแพงที่ใช้เป็นหิน สถาปนิกได้แรงบันดาลใจจากการออกแบบแบบ ออแกนิก ของ แฟรงค์ รอยด์ ไรท์ วัสดุหลักของวิหารเป็นไม้ที่นิยมกันทั่วไป ของพื้นถิ่น ระเบียงวิหารคด ถูกออกแบบให้ทำหน้าที่ป้องกันเสียงและเป็น buffer ให้กับอาคารและมีต้นไม้เป็นแนว ข้างอีกชั้นเป็นการสอดแทรก ตัวสถาปัตยกรรมให้เข้ากับธรรมชาติ พื้นที่ไห้กลมกลืนกัน

บ้านพักรับรองผู้ที่มาทำบุญออกแบบให้เป็นหมู่เรือนหลังๆ ลักษณะของการเล่นระดับและยกใต้ถุนสูงโปร่งโล่ง มีลักษณะเดียวกันกับศาลาการเปรียญที่อยู่บริเวณด้านข้าง สังเกตได้ว่าที่นี่จะพยายามรักษาต้นไม้ใหญ่ให้เข้ากับ สถาปัตยกรรมได้อย่างเหมาะสม

และสุดท้ายเราได้ไปพักผ่อนที่อุทยานแจ้ซ้อน ที่มีบ่อน้ำตก และบ่อน้ำร้อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งมีส่วนที่เป็นน้ำร้อน และน้ำเย็นมาไหลรวมกัน ทำให้ผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าได้มากที่เดียว

หลังจากนั้นเราก็ได้เดินทางกลับสู่โรงแรมที่พักเป็นเวลาค่ำ