วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

I will be Architect...

18 มิถุนายน 2553

เริ่มเลยนะครับ....ต้องขออนุญาตเล่าย้อนกลับไปเมื่อประมาณอายุ 4-5 ขวบ ซึ่งอาจจะไม่ค่อยเกี่ยวกันเท่าไรกับเรื่องที่อาจารย์ให้เขียน แต่พอผมได้เข้ามาเรียนในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์แล้ว ผมจึงนึกขึ้นมาได้ เพราะความบังเอิญหรือจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม แต่ผมคิดว่า มันเป็นพรหมลิขิต ที่ทำให้ผมได้เข้ามาเรียนในคณะนี้
เริ่มจาก.....ด้วยความที่แม่ไม่ค่อยซื้อของเล่นอะไรไห้มากมาย บวกกันตอนนั้นผมกอไม่ค่อยได้เล่นกับใครมากส่วนใหญ่จะอยู่บ้านสมัยนั้นจะที่บ้านจะมี VDOหนังการ์ตูนและ เทปเพลง ต่างอยู่มาก ผมจึงเอาVDO และเทปมาเล่นแทน หลายคนคนนึกไม่ออกว่าจะเอามาเล่นอย่างไร แต่ผมเอาVDO ที่มีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมแบนๆ มาวางซ้อนกัน แบบตั้ง และวางนอน เป็นชั้นๆขึ้นไป ที่มีลักษณะเหมือน ตึก แล้วเอาตัวตุกตุ่นทหารเล็กๆกับรถของเล่นคันเล็กๆ มาวางเข้าไปข้างในช่องว่าง ของแต่ละชั้น บางทีผมก็ต่อเรียงชั้นไปสูงมากๆมันก็หล่นพังลงมาแล้วกอเอาขึ้นไปเรียงใหม่แบบเดิม จนมาถึงสมัยที่ ของเล่นที่ชื่อว่า LEGO ได้เข้ามาขายใหม่ๆผมก็เป็นเด็กคนนึงที่อยากได้ ขอแม่อยู่นานทีเดียว..เพราะมันราคาแพงไม่เบาเช่นกัน ถ้าเทียบกับของเล่นทั่วไปในสมัยนั้น จนในที่สุดพ่อกับแม่ก็พาไปซื้อ ได้มา 1 ชุด เป็นชุดที่มีทั้งบ้าน รถ และแผ่นฐานที่สามารถต่อเป็นภูเขาและ ลำธารได้ ถือว่าเป็นของเล่นของผมที่สนุกมากทีเดียว จากนั้นมาผมก็เล่นอยู่กับมันเป็นเวลาหลายปี จนบางทีชิ้นส่วนบางชิ้นก็หายไปบ้าง หลังจากนั้นมาผมก็ค่อยๆเลิกเล่นมันและถูกเก็บเอาไว้ในกล่องของเล่นที่ถูกลืมไป
กลับมาสู่ในวัยมัธยม ผมจำได้ว่าผมชอบเรียนวิชาวาดรูปมาก จำได้ว่าในสมัย ม.3 อาจารย์ได้สอนให้วาด รูปอะไรสักอย่างเป็นลัษณะกล่องสี่เหลี่ยมหลายๆอัน มีความลึก ยาว ต่างกันไป หลายๆอัน ทำให้เกิดเป็นมิติ ซึ่งได้มารู้ซื่อของมันที่ถูกต้องภายหลังว่า perspective จากการที่เขียนรูปที่อาจารย์สอน ก็เปลี่ยนมาเป็นความสนุก และอยากเขียนอีกหลายๆแบบหลายๆมุม เป็นการวาดรูปที่มีความสุขมากและอยากที่จะเขียนส่งอาจารย์ให้เยอะๆ แต่การเรียนในมัธยมนั้น ไม่ได้มีแค่วิชาวาดเขียนแต่ยังต้องเรียนวิชาอื่นๆ อีก ซึ่งบางทีผมก็คิดว่ามันเรียนเยอะมากในแต่ละวัน จนมาถึงวันที่ต้องเลือกเรียนในสายต่างๆของ มัธยมปลาย มาถึงตอนนี้ก็ต้องคิดว่าตัวเองจะไปเอ็นทราน เข้าคณะไหนด้วย ครั้นว่าจะเป็น วิศะวะหรือ วิทยาศาสตร์ ก็คงไม่เหมาะแน่ ตอนนั้นก็เลยยังไม่แน่ใจอะไรมากแต่ก็มีชื่อๆหนึ่งที่ได้ยินมานานมากจากอาจารย์ ที่สอนให้วาดPerspective ตอนนั้นละครับว่ามีคณะ สถาปัตย์....จากนั้นผมก็คิดว่า สถาปัตย์นี่แหละ มันน่าจะเข้ากับผมได้ แต่ก็ยังรู้แค่ว่าต้องวาดรูปให้เป็น วาดให้สวยรู้เท่านั้นจริงๆ จบไปก็ออกกแบบตึก ออกแบบบ้านที่เห็นในหนังสือสวยๆ ก็เลยเลือกเรียนสาย วิทย์ เพราะทีบ้านบอกว่าน่าไปเอนทรานเลือกได้หลายคณะ รวมทั้งจะสามารถเลือกคณะสถาปัตย์ได้อีกด้วย ก็เลยเรียนไปตามนั้นผมเชื่อว่าคนที่เรียนคณะสถาปัตย์ที่เอนทรานเข้ามา หลายคนคงจะรู้สึกเช่นเดียกับผม ว่าตอนเรียนม.ปลายในสายวิทย์ ต้องเผชิญกับ วิชาอันน่าเบื่ออย่าง ชีวะ เคมี ฟิสิกส์ หรือแม้กระทั่งเลขด้วยก็ตามผมก็ไม่ได้ถึงกับไม่อยากเรียน วิชาเหล่านั้น แต่ขอเรียนแค่ให้ผ่านไปได้ก็ถือว่าดีแล้ว โชคดีที่ผมมีเพื่อนที่ดีหลายคนคอยช่วยเหลือ และผ่านมาได้ด้วยเกรด ที่ดี ซึ่งมันก็ส่งผลมาถึงตอนที่จะเลือกคณะ มันเป็นอะไรที่ผมไม่ได้คิดมากเลย ผมมองไปที่คณะสถาปัตย์
ทุกมหาวิทยาลัย โดยที่ไม่คิดจะเลือกคณะอื่นไว้เผื่อเลย (เสี่ยงมาก) เพราะผมไม่ได้ไปสอบวิชาพิเศษ(A-net) อื่นเลยนอกจาก วิชาความถนัดทาสถาปัตย์ซึ่งคะแนนมันก็ออกมาไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ด้วยความที่วิชาอื่น ยังพอมีคะแนนที่ดี แต่ผมก็ยังคิดจะเลือกคณะนี้ต่อไปไม่หวั่นแน่นอน.... ในตอนแรกผมจะเลือก ม.ศิลปากรเพราะก่อนหน้านั้นผมเห็นพี่สาว ที่เป็นญาติกัน เรียนคณะสถาปัตย์ ศิลปากร เห็นแล้วรู้สึกอยากเข้ามาเรียนบ้าง แต่ผมก็ได้เลือกในคณะสถาปัตย์ ลาดกระบังเพราะจากคะแนนที่ได้อาจจะไม่ติด ที่ศิลปากร ในที่สุดผมก็สามารถเข้ามาเรียนในคณะสถาปัตย์ ลาดกระบัง ได้ ซึ่งผมเลือกไว้เป็นอันดับที่หนึ่ง แต่ตอนที่เลือกนั้นยังไม่เคยรู้ว่า คณะสถาปัตย์ ลาดกระบังนั้นเป็นอย่างไรบรรยากาศดีหรือหรือเปล่า เพราะผมเป็นคนฝั่งธนบุรี จึงไม่เคยได้มาเห็นคณะนี้จริงๆ แต่สอบติดคณะสถาปัตย์ก็โคตรดีใจแล้ว เลยไม่คิดอะไรมาก มันเป็นความใฝ่ฝันของเด็กมัธยมที่พึ่งจบม.6 มาใหม่ๆ จนมาถึงวันสัมภาษณ์เป็นวันแรกที่ผมได้ก้าวเท่้าเข้ามาสู่คณะสถาปัตย์ลาดกระบังความตื่นเต้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวินาทีที่เข้ามาสู่ห้องสอบสัมภาษณ์ ผมจำได้ว่าผมเป็นกลุ่มแรกๆที่ได้เข้าไป ผมเลือกที่สัมภาษณ์กับอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งมีเครื่องอัดเทปเสียงไว้ด้วย รูปร่างอ้วนๆหน้าตาใจดีเท่าที่จำได้อาจารย์ถาม "ว่าตึกหรืออาคารที่สร้างขึ้นจำเป็นต้องมีความสวยงามหรือป่าว" ผมก็ตอบไปว่า ซึ่งตอนนั้นผมไม่แน่ใจว่าตอบไปอย่างไร บ้าง เท่าทีจำได้ คือ "ไม่จำเป็นต้องสวยเสมอไป เพราะอาคารมีอาคารบางชนิดที่ต้องการใช้แค่เพียงประโยชน์ใช้สอยภายในเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสนใจภาพลักษณ์ ภายนอก" ต่อจากวันนั้นมาผมก็เป็นนักศึกษาคณะสถาปัตย์ ลาดกระบังอย่างเต็มตัว การที่ได้เข้ามาเรียนในฐานะปี1 ถือเป็นการเปิดโลกใหม่อีกครั้งของผม พบเพื่อนๆ อาจารย์หลายท่าน วิชามากมายที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน บวกกับงานที่อาจารย์สั่งมา ซึ่งในความคิด ณ ขณะนั้นคิดว่ามันก็เยอะมากมายเหลือเกิน เกิดมายังไม่เคยอดนอนขนาดนี้เลย อยู่หอด้วยแต่ก็มีเพื่อนอยู่ หลายคน ก็ยังทำให้อดไม่ให้คิดถึงบ้านไม่ได้ (ช่างเหนื่อยเสียจริงๆ) การเรียนในปี1 ทำให้ผมคิดว่า "ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน" เท่านั้นจริงๆเพราะเหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆ ทำให้ผมต้องปรับเปลี่ยนชีวิต ไปหลายๆอย่าง การกิน นอน หรือตื่น ไม่มีใครจะมาบังคับชีวิตของตัวเราเองได้นอกจากตัวเราเอง ทำให้ผมรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบตัวเองมากยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนว่าเรามี 100 แต่เมื่ออยู่คณะนี้ต้องหามาเพิ่มอีก 150 ทำอย่างไรก็ได้ที่จะอยู่รอดในคณะนี้ได้เพราะผมเองก็เรียกได้ว่าเป็นคนที่ทำงานช้าเหมือนกัน แต่ก็โชคดีที่ยังมีพี่ๆน้องๆรหัส รวมทั้งเพื่อน คอยช่วยเหลือ แต่ถึงแม้จะต้องผ่านประสบการณ์อันหลากหลายมามากเพียรไร ทั้งปนเศร้า เคล้าน้ำตา ที่ว่าน้ำตานี้คือตาลูกผู้ชาย เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมคิดว่างานมันเยอะมาก จนคิดว่า"ตายแน่ละงานนี้" บวกกับความที่ห่างบ้านมาเป็นเดือนๆ แต่สุดท้ายมันก็ผ่านมาได้ การเรียนในปี3-4 ก็ถือว่าสนุกสนานมากทีเดียวเพราะได้ออกไปศึกษา อาคารจริงหลากหลายที่ พบปะผู้คนเพิ่มขึ้นต้องติดต่อสื่อสาร กับผู้ที่เป็นผู้ใหญ่กว่า และเหล่าผู้ที่มีความรู้ที่เราต้องการจะศึกษา นอกเหนือจากอาจารย์ในคณะ สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ผมเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย ทำให้ใส่ใจกับบุคลิกภาพของตัวเองให้ดีกว่าเดิม และที่สำคัญที่สุดคือ "เวลา" เวลาเป็นสิ่งสำคัญมากตั้งแต่ผมมาเรียนในคณะนี้ แต่มันก็สำคัญยิ่งกว่าเมื่อเราก้าวเข้าสู่ปีที่โตขึ้น และกับผู้ใหญ่อื่นๆที่เราต้องไปพบปะด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครมาว่าเรื่องนั้นก็ตาม และเมื่อผมเดินทางมาถึงจุดๆนี้ผมก็เข้าใจถึงอาชีพนี้มากยิ่งขึ้น


เมื่อการฝึกงานจริงมาถึง ผมเลือกที่จะไปฝึกงานที่ โรงพยาบาลศิริราชซึ่งในโรงพยาบาลศิริราชนี้มีหน่วย งานสถาปัยกรรมและวิศวกรรม เหตุผลสำคัญที่ผมเลือกไปฝึกที่นั้นเพราะ แม่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ที่นั้นและรู้จักคุ้นเคยกับที่นั่นมาก่อนแล้ว จากการไปดูsite ของโรงพยาบาลและเคยของความช่วยเหลือเรื่องแบบมาก่อนหน้านี้ ส่วนเหตุผลที่รองลงมาคือ ผมมีความสนใจที่จะทำทีสิต เกี่ยวกับโรงพยาบาลด้วย ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดี ที่จะเข้าไปฝึกงานที่นั้น งานหลักที่เข้าไปทำจะเป็นงานประเภทRenovate ส่วนต่างๆที่มีอยู่แล้วของเดิมที่ทรุดโทรม เพราะโรงพยาบาลศิริราชเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ และมีอายุยาวนานมาก รวมทั้งงานตรวจสอบอาคารจากผู้รับเหมาในงานที่ใหญ่ๆในหน่วยงานที่ผมเข้าไปฝึกนั้นมีสถาปนิก อยู่ 4 คน และวิศวกรไฟฟ้า โครงสร้างเครื่องกล สุขภิบาล รวมกัน 4 คน เป็นสำนักงานที่ไม่ใหญ่มากแต่งานที่ หน่วยงานนี้รับผิดชอบล้วนแล้วแต่เป็นงานใหญ่ภายใน รพ.ทั้งนั้นและปริมาณงานก็มีมากเช่นกัน และบางครั้งผมก็คิดว่า น่าจะมีเจ้าหน้าที่สถาปนิกให้มากเพียงพอกับงานที่เข้ามา งานแรกที่ผมได้ทำเป็นงาน ที่พี่นกที่เป็นสถาปนิก เป็นพี่เลี้ยงคอยสอนงานให้ผม พาไปรับ Requirementที่สำนักงานของหน่วยงานหนึ่งใน รพ. เป็นการออกแบบปรับปรุงสำนักงานใหม่ การไปรับงานครั้งนี้น่าจะเปรียบเหมือนการไปพบลูกค้า และไปวัดพื้นที่หน้างาน ลูกค้าใน รพ.นี้เป็นบรรดาหมอ และเจ้าหน้าที่ แล้วลูกค้าของผมก็ มีไม่น้อยด้วยในโครงการนี้ หลากหลายความคิด หลายความรู้สึก แต่สถาปนิก กับนักศึกษาสถาปัตย์ อย่างผมก็ต้องรับฟัง เมื่อรับงานแล้วผมก็ได้รับมอบหมายให้ออกแบบผังใหม่ จัดวางเฟอร์นิเจอร์เลือกเฟอร์นิเจอร์จาก แคตาล๊อก และอีกหลายๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับสำนักงาน ในขณะที่งบที่ลูกค้ามีให้ ไม่มากเลยทีเดียวซึ่งถือเป็นโจทย์ยากมาก (ลูกค้ามีเงินแค่ซื้อรถกระบะ แต่อยากนั่งรถเบนซ์) ส่วนในแบบวิศวกรรมแบบไฟฟ้า แบบสุขาภิบาล ตอนนี้ละครับเพื่อนของสถาปนิกที่ผมเคยอ่านมาในหนังสือ นั่นก็คือวิศวกร ก็เข้ามาร่วมงานช่วยเหลือสถาปนิก โดยพวกพี่ๆวิศวกรจะคำนวณ Load ต่าง ๆเพียงแค่ผมบอกถึงความต้องต่างๆไปพวกพี่ๆก็จะ เขียนแบบงานระบบมาให้เลย และพวกพี่วิศวกรก็ยังให้คำแนะนำในการเลือกวัสดุหรืออุปกรณ์ต่างๆ ให้กับผมได้ด้วย การตรวจแบบครั้งแรกกับลูกค้าของผมก็มาถึง แบบในครั้งแรกที่เสนอไปลูกค้า ไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจ เพราะลูกค้าล้มแบบไปหลายส่วน ก็นำกลับมาปรับปรุงใหม่ กับโจทย์เดิมข้อจำกัดที่งบประมาณ....แบบผ่านไป ครั้งที่ 2,3 และจนมาถึงการ ส่งมอบแบบพร้อม ราคากลางประเมิน และนัดหมายผู้รับเหมามาคุยกัน ถึงแม้ว่าแบบใกล้จะเป็นจริงแล้ว แต่ข้อจำกัดงบประมาณ ยังส่งผลให้ต้อง ลดสเปก ของบางอย่างลงไปงาน renovate สำนักงานยังผ่านไปมานานก็ได้รับมอบหมายจากพี่หัวหน้าหน่วยงาน ไปรับ Requirementเช่นเดิม แต่ครั้งนี้พี่หัวหน้าพาไปห้องไอซียู ของตึกอุบัติเหตุ ลูกค้าของเรา ซึ่งเป็นคุณหมอรออยู่ที่นั่นแล้ว คราวนี้จะทำการ ปรับปรุง ห้อง ไอซียู เมื่อคุยรายละเอียดเสร็จ พี่สถาปนิก ก็พาไปดูห้องไอซียู จริงๆ (อืม..ของจริงครับ นอนต่อสายเครื่องช่วยหายใจกันให้เห็นๆ) เห็นแล้วก็ปลงชีวิตเหมือนกันครับเพราะผู้ป่วยเหล่านี้อยู่ได้เพราะเครื่องใหญ่ ที่อยู่ข้างๆตัวทั้งนั้น เช่นเดิมครับผมได้รับงานให้ปรับผังและออกแบบห้องต่างตามที่คุณหมอ ต้ิองการมาโชคดีที่ลูกค้าท่านนี้คุยง่ายหน่อยเพราะท่านคิดแบบไว้บ้างแล้วเพียงแค่ ผมมาปรับพื้นที่ให้ถูก สเกลและเหมาะสมกับการใช้งาน ต่อจากนั้นผมก็ส่งแบบต่อให้พี่ ทำรายละเอียดต่อ ส่วนงานอื่นๆก็เป็นงานแก้ผังหนีใฟ บางทีก็ไปร่วมประชุมกับพวกพี่ๆ หรือบางทีพี่ก็ชวนให้ไปดูการนำเสนอสินค้า ที่เจ้าของแต่ละรายมาเสนอขายให้กับ รพ. เช่นผ้าม่าน ที่จะใช้กับห้องประชุมใหญ่ ทำให้ผมรู้ถึงวิธีการทำงาน ในส่วนของราชการขึ้นมาก การเปรียบเทียบราคาของแต่ละเจ้าที่มาเสนอขาย การฝึกงาน ในระยะเวลา 1 เดือนสำหรับส่วนตัวผมคิดว่าอาจจะน้อยไปแต่ก็ได้อะไรหลายๆอย่างกลับมา ไม่เพียงความรู้ที่ได้เท่านั้น พี่ๆที่นี่ยังสอนให้รู้จักอาชีพนี้ได้ดียิ่งขึ้น สิ่งสำคัญคือการเข้าสังคม ทั้งที่เพื่อนร่วมงานและลูกค้า ถ้าจะประเมินแล้วจากการฝึกงานครั้งนี้ในส่วนของผม ผมเองก็ยังขาดในเรื่องของการเข้าสังคมในที่ทำงานอาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งมาจากความไม่กล้า และระยะเวลาที่ไม่มากนัก ซึ่งทั้งหมดนั้นผมจะนำไปปรับแก้ไขในการทำงานจริงต่อไป จนถึง ณ วันนี้ผมก้าวเข้าสู่การเรียนปีสุดท้าย มีวิชาหหนึ่ง ชื่อว่าการประกอบวิชาชีพ ซึ่งก็เคยได้ยินมาบ้างจากรุ่นพี่ แต่มาเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นเมื่อได้เรียนด้วยตัวเอง ทำให้ผมรู้ถึงทิศทางอนาคตต่อไปข้างหน้าว่าจะต้องทำอย่างไรกับชีวิต (จบแล้วไปไหน? ไม่ใช่ตายแล้วไปไหนนะครับ) ถึงแม้ว่าการออกแบบอาจจะเป็นงานของสถาปนิกแต่ ไม่จำเป็นที่เราต้องไปเป็นผู้ออกแบบกันทุกคน แต่มีสายงานให้เราได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาประกอบวิชาชีพได้ อย่างมากมาย บางครั้งบางอาชีพที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็สามารถ ใช้วิชาชีพสถาปัตยกรรม ได้ เรียกได้ว่า คณะนี้จบมาแล้วสามารถไปทำงานได้หลากหลาย เช่นกัน ทำให้ผมจึงต้องคิดว่าเมื่อเรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ โดยที่ทางบ้านอยากให้เรียนต่อ เลยก็จะดี แต่บางครั้งผมก็คิดว่าอยากลองหาประสบการณ์ ทำงานไปด้วยและส่วนงานในรูปแบบใดนั้น ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้เช่นกัน แต่ก็จะอยู่ในสายวิชาชีพ นี้อย่างแน่นอน

แบบอย่างสถาปนิกที่ผม ชื่นชมและอยากนำการใช้ชีวิตของท่านไปเป็นแนวทางในการทำงาน คือ รศ.ดร. ภิณโญ สุวรรณคีรี และอีกท่านหนึ่งคือ คุณ นิธิ สถาปิตานนท์ ศิลปินแห่งชาติทั้งสองท่าน นี้ผมคิดว่าเป็นสถาปนิกไทย ที่โลกได้ให้การยอมรับเป็นอย่างมาก เป็นสถาปนิกที่สร้างชื่อให้กับประเทศไทย ในด้านการการใช้ชีวิต อาจารย์ภิญโญ ถือว่าเป็นครู โดยแท้ จากการสั่งสอนให้ความรู้ที่ผมได้สัมผัสมา ที่สำคัญคือความใฝ่รู้เมื่อครั้งที่อาจารย์ ยังเป็นนักศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่นักศึกษาสถาปัตย์ อย่างผมต้องเรียนรู้อีกมาก ส่วน คุณนิธิ นั้นผมชื่นชม จากเกิดประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตงานทำงานวิชาชีพนี้ ซึ่งผมไดด้มีโอกาสอ่านหนังสือของท่าน"เส้นสายสู่ปลายฝัน" ซึ่งเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับชีวิตตั้งแต่การเรียน จนถึงการทำงาน แต่เบื้องหลังของความสำเร็จที่ปรากฎให้เราได้เห็นนั้น แลกมาด้วยความอดทน มานะ และในวิชาชีพนี้ นอกจากจะมีฝีมือเยี่ยมแล้วยังต้องมีโอกาสที่ดี จึงจะประสบความสำเร็จได้

การที่ผมได้เริ่มต้นวิชาชีพสถาปัตยกรรม ด้วยโอกาสที่เข้ามาเรียนในพระจอมเกล้าฯลาดกระบังนี้ ผมคิดว่าชีวิตนี้คุ้มค่ามากแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่จุดเริ่้มต้นเล็กๆ เมื่อเทียบกับเวลาทั้งชีวิตก็ตาม แต่ผมก็คิดว่าจุดเริ่มต้นเล็กๆนี้จะเป็น เส้นทางสายยาวไกลของผมต่อไปอีกอย่างแน่นอน